วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ


โครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริพิมพ์อีเมล
สถานที่ตั้ง      หมู่ 4 บ้านเขาหินลาด  ต.คันโช้ง  อ.วัดโบสถ์  จ.พิษณุโลก
ความเป็นมา
          เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อนนเรศวร และทรงเยี่ยมราษฎร ณ บริเวณเขื่อนนเรศวร บ้านหาดใหญ่ ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับงานชลประทาน ดังต่อไปนี้
          1.  ควรพิจารณาวางโครงบริเวณตอนเหนือของทุ่งสาน เพื่อจัดหาน้ำให้ราษฎรหมู่บ้านต่างๆ นอกเขตชลประทานทุ่งสาน ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณทุ่งสานตอนบน และตอนกลาง สามารถมีน้ำทำการเพาะปลูกได้ทั้งในฤดูฝน-ฤดูแล้ง และมีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคสำหรับราษฎรหมู่บ้านต่างๆ ดังกล่าวตลอดปี นอกจากนั้นยังจะช่วยบรรเทาอุทกภัยสำหรับพื้นที่เพาะปลูกบริเวณทุ่งสานอีกด้วย
         จังหวั บกักน้ำแควน้อย ใ2. ควรพิจารณาวางโครงการและก่อสร้างเขื่อนเก็นเขตอำเภอวัดโบสถ์ พิษณุโลก โดยเร่งด่วน เขื่อนเก็บกักน้ำแควน้อยนี้ควรพิจารณาวางโครงการให้เก็บกักน้ำไว้อย่างเต็มที่ เพื่อการบรรเทาอุทกภัยในเขตลุ่มน้ำแควน้อยตอนล่าง และจัดหาน้ำสนับสนุนโครงการชลประทานพิษณุโลก และโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ ให้ได้ผลอย่างสมบูรณ์ต่อไป สำหรับเขื่อนเก็บกักน้ำแควน้อยนี้ การพลังงานแห่งชาติกำลังศึกษาและจัดทำรายงานความเหมาะสมของโครงการอยู่ และจะได้ดำเนินการก่อสร้างต่อไป
          3. ควรพิจารณาวางโครงการและก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามลำน้ำสาขาต่างๆ ของแควน้อยตอนล่าง บริเวณท้ายเขื่อนเก็บกักน้ำแควน้อย เพื่อจัดหาน้ำให้ราษฎรหมู่บ้านต่างๆ ในเขตอำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พื้นที่ประมาณ 19,000 ไร่ สามารถทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี นอกจากนั้นยังจะช่วยบรรเทาอุทกภัยแก่พื้นที่เพาะปลูกบริเวณท้ายอ่างเก็บน้ำต่างๆ ดังกล่าวอีกด้วย
          ในปี พ..2526 สำนักงานพลังงานแห่งชาติ  ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลียในการว่าจ้างบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา REDECON AUSTRALIA Pty.,Ltd., ดำเนินการศึกษาจัดทำรายงานความเหมาะสมและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.. 2530  ต่อมา ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 กรมชลประทานได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการศึกษาโครงการเขื่อนแควน้อยต่อจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  เดือนกันยายน พ.ศ.2536 กรมชลประทานได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา ได้แก่ บริษัท ปัญญาคอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท รีซอลส์เอ็นจิเนียริ่งคอนซัลแตนท์ จำกัด เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสม และบริษัท เทสโก้ จำกัด เพื่อศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประชาสัมพันธ์ โดยดำเนินการแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2538     
          วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2538 ณ ศาลาดุสิตาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า .....ส่วนที่พิษณุโลกก็มีน้ำไหลลงมาจากข้าง ๆ อีกสายหนึ่ง แควน้อยซึ่งจะต้องทำ....อันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ ซี่งจะต้องทำ เพื่อเก็บกักน้ำที่มาจากอำเภอชาติตระการ  อาจจะมีคนค้านว่าทำไมทำเขื่อนพวกนี้แล้วมีประโยชน์อะไร ก็เห็นแล้วประโยชน์ของเขื่อนใหญ่เขื่อนนี้ ถ้าไม่มี 2 เขื่อนนี้ ที่นี่น้ำจะท่วมยิ่งกว่า จะไม่ท่วมเพียงแค่นี้ จะท่วมทั้งหมด.....
          การออกแบบรายละเอียดโครงการแล้วเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2545  รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการได้ผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติเห็นชอบรายงาน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2545  และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการเขื่อนแควน้อย เมื่อวันที่ 21มกราคม พ.ศ.2546
          วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2545 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปในพิธีน้อมเกล้าฯ ถวายโครงการปลูกป่าถาวร จำนวน ล้านไร่ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 ในส่วนของบริษัท ปตทจำกัด (มหาชนณ พื้นที่ป่าชายเลนแปลงปลูกป่า FPT 29 และ 29/3 อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้พระราชทานพระราชดำริให้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินการก่อสร้างโครงการเขื่อนแควน้อย อำเภอวัดโบสถ์  จังหวัดพิษณุโลก  กรมชลประทานจึงได้วางแผนงานที่จะดำเนินการก่อสร้างโครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ.พิษณุโลก ในปี 2546 - 2554 ระยะเวลาดำเนินการ ปี โดยในปี 2546  จะขอใช้งบประมาณจาก กปรและใช้งบประมาณปกติก่อสร้างโครงการในปีต่อๆ ไปจนแล้วเสร็จ
วัตถุประสงค์ของโครงการ          
          1.  เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำหรับการเพาะปลูกทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง สำหรับพื้นที่เพาะปลูกในลุ่มน้ำแควน้อย รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำเสริมการเพาะปลูกในฤดูแล้งของพื้นที่โครงการเจ้าพระยา          2.  เพื่อช่วยบรรเทาอุทกภัยบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำแควน้อยตอนล่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอำเภอวัดโบสถ์ อำเภอเมือง และอำเภอวังทอง 
สภาพทั่วไป       
          แม่น้ำแควน้อยเป็นลุ่มน้ำสาขาย่อยฝั่งซ้ายของแม่น้ำน่าน มีต้นน้ำอยู่ที่อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ไหลผ่านอำเภอวัดโบสถ์ บนนจบแม่น้ำน่านที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก  สภาพพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำแควน้อย ประมาณ 200,000 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่ประสบปัญหาน้ำท่วมและขาดแคลนน้ำเป็นประจำทุกปี  ราษฎรส่วนใหญ่ 80 เป็นเกษตรกรที่มีรายได้ต่ำ ทำนาได้ครั้งเดียวในฤดูฝน แต่มักได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม โดยมีพื้นที่ประมาณ 75,000 ไร่ ในเขตอำเภอวัดโบสถ์ อำเภอวังทอง อำเภอพรหมพิราม และอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มักเกิดปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงเป็นลำดับ
          โครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึง ยังจะเป็นแหล่งน้ำสนับสนุนให้กับพื้นที่ชลประทานฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำแควน้อย ส่งน้ำเสริมให้กับพื้นที่เพาะปลูกของโครงการเจ้าพระยาใหญ่ เป็นแหล่งน้ำใช้ในการเกษตร การอุปโภค บริโภค  นอกจากนี้ ยังได้สร้างเขื่อนทดน้ำพญาแมน เพื่อช่วยยกระดับน้ำเข้าคลองชลประทาน ส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร 4 อำเภอของจังหวัดพิษณุโลก คือ อำเภอวัดโบสถ์ อำเภอพรหมพิราม อำเภอวังทอง และอำเภอเมือง 
          เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2552  นายชูชาติ ฉุยกลม ผู้อำนวยสำนักก่อสร้าง 2 โครงการเขื่อนแควน้อย จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง ได้ส่งหนังสือ เลขที่ รล.005.2/13227 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็น เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ซึ่งหมายถึง "เขื่อนแควน้อยที่ทำให้มีความเจริญขึ้นในเขตพื้นที่" สำหรับเขื่อนทดน้ำพญาแมน ทรงพระราชดำรัสเห็นควรให้ใช้ชื่อเดิม


ระยะเวลาก่อสร้าง           

9  ปี (ปี 2546 
 ปี 2554) รวมระบบส่งน้ำ
รายละเอียดโครงการ      
          โครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นอ่างเก็บน้ำอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ สามารถเก็บกักน้ำได้
769  ล้าน ลบ..  โดยมีพื้นที่ผิวน้ำที่ระดับเก็บกักประมาณ 38,368 ไร่ ประกอบด้วย 3 เขื่อนติดต่อกัน มีรายละเอียดตัวเขื่อนและงานอื่นที่สำคัญดังนี้.-
Ø     เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เป็นเขื่อนหินทิ้งดาดคอนกรีต(Concrete Faced Rockfill Dam) สูง 75 . ยาว 681 .Ø     เขื่อนสันตะเคียน เป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียว(Earth Core Rockfill Dam) สูง 80 . ยาว 1,270 .Ø     เขื่อนปิดช่องเขาต่ำ เป็นเขื่อนดิน(Earthfill Dam) สูง 16 ม.  ยาว 640 ม.Ø     เขื่อนทดน้ำพญาแมน ลักษณะเป็นเขื่อนทดน้ำแบบประตูระบายบานโค้งจำนวน 5 บาน ขนาด 12.50 x 7.50 ระบายน้ำสูงสุด 1,718  ลบ../วินาทีØ    คลองส่งน้ำฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ส่งน้ำด้วยแรงโน้มถ่วง จำนวน 70 สาย ความยาวรวมประมาณ 340 กมพร้อมคลองระบายน้ำ จำนวน 4สาย ยาวรวมประมาณ 16กม.
ประโยชน์ของโครงการ          
Ø       ส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกในฤดูฝนและฤดูแล้งให้แก่พื้นที่ชลประทานแควน้อย 155,166 ไร่ และส่งน้ำเสริมการเพาะปลูกในฤดูแล้งของโครงการชลประทานเจ้าพระยาประมาณ 250,000 ไร่Ø       ส่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ประมาณ 47.3 ล้าน ลบ..ต่อปีØ       บรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยในเขต จ.พิษณุโลกและลุ่มแม่น้ำแควน้อยตอนล่างØ       เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดและเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพิษณุโลก
ผลการดำเนินงาน

          การก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเริ่มการเก็บกักน้ำ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2551

ภาพโครงการ
kwaenoi3
kwaenoi5
kwaenoi4kwaenoi6

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

10สุดยอด ลูกฟรีคิกโคตรโค้งโป้งเดียวจอด


Blogger คืออะไร

Blogger คืออะไร


บล็อกเกอร์  Blogger คืออะไร



Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 คำ บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog) โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (เวิลด์ไวด์เว็บ) และ log (ปูม, บันทึก) ซึ่งรวมกันหมายถึง “ปูมเว็บ” หรือ บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ นั่นเอง หรือ ถ้าจะขยายความมากไปกว่านั้น Blog ก็จะหมายถึง การบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ มีการจัดเรียง “เรื่อง” หรือ post เรียงลำดับ โดยเรื่องใหม่จะอยู่ด้านบนสุด ส่วนเรื่องเก่าก็จะอยู่ด้านล่างสุด ซึ่งจะมีวันที่-เวลาเขียนกำกับไว้ เป็นที่นิยมกันในหมู่มาก

มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นแค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลาย และครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างไดอารี่ จนถึงการบันทึกบทความเฉพาะด้านต่างๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องธุรกิจ เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อก เป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ มีการสื่อสารกับผู้อ่านผ่านทางระบบ comment และมีการถ่ายทอดอย่างเป็นกันเอง โดยบล็อกบางแห่งจะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็เขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะเช่นเพื่อน หรือคนในครอบครัว Blog ให้ อิสระในการเขียนเรื่องอะไรก็ได้ตามแต่ใจผู้เขียน โดยจะสะท้อนบุคลิกของผู้เขียนออกมา ถ้าคนไหนเป็นคนตลก ก็จะเขียนออกมาได้สนุกสนาน น่าอ่าน, ใครชอบเลี้ยงสุนัขจะเล่าเรื่องสุนัขของตัวเอง เป็นต้น Blog มีทั้งบริการแบบเสียค่าใช้จ่าย และไม่เสียค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการให้บริการ ซึ่งมักจะติดตั้ง Tool ให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากนัก

Blogger สามารถแปลได้ 2 ความหมายคือ

1. คนเขียนบล็อก หรือเจ้าของบล็อกนั่นเอง
2. ระบบ update blog หรือ blog engine ที่เรียกว่า Blogger.com นั่นเอง

ซึ่งสามารถประเภทจำแนกได้คร่าวๆ ดังนี้

1. บล็อกเกอร์อิสระ นักเขียนบล็อกประเภทนี้จะเขียนบล็อกของตัวเอง โดยจำกัดบล็อกของตัวเองไว้ว่าเป็นบล็อกส่วนตัว สำหรับเขียนเรื่องราวส่วนตัว หรือความคิดส่วนตัว โดยไม่ได้นำเสนอบล็อกของตัวเองเพื่อการอย่างอื่น นอกจากการชมเพื่อความบันเทิง, ความสนุกในหมู่เพื่อนฝูง

2. บล็อกเกอร์แนวธุรกิจ => รับทำบล๊อกเกอร์
นักเขียนบล็อกกลุ่มนี้ มักจะเขียนเนื้อหาของ blog ที่เป็นการแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน คือใช้ blog เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดนั่นเอง

3. บล็อกเกอร์แบบองค์กร บล็อกเกอร์กลุ่มนี้ จะใช้ blog เพื่อเป็นการสื่อสารภายใน ไม่ว่าจะเป็นภายในองค์กร เช่นภายในบริษัท หรือใช้สื่อสารภายในทีมฟุตบอล หรือสโมสรต่างๆ

4. บล็อกเกอร์มืออาชีพ บล็อกเกอร์ที่เขียนบล็อกอย่างเดียว โดยมีรายได้จากบล็อกเพื่อยังชีพ บางคนได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือน ให้เขียนบล็อกอย่างเดียว บางคนเขียนบล็อกของตัวเอง โดยได้รับค่าโฆษณาต่างๆ จากผู้สนับสนุน กลุ่มนี้อาจเป็นบริษัทที่เขียนบล็อกโดยเฉพาะ ที่เห็นชัดเจนก็คือ blogger ชาวต่างประเทศ เพราะเขียนให้คนอ่านมากๆ แล้วใช้โฆษณาของ Google Adsense มาติดไว้ บางคนมีก็รายได้จากการเป็น presenter ให้สินค้าต่างๆ

http://makewebblogs.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

องค์ประกอบของดนตรี

องค์ประกอบของดนตรี

องค์ประกอบของดนตรี

1.    เสียงดนตรี ( Tone)  เป็นเสียงที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา  โดยนำเสียงต่างๆ มาจัดระบบให้ได้สัดส่วน  มีความกลมกลืนกัน  โดยทั่วไปแล้วเสียงดนตรีจะเกิด จากเสียงของเครื่องดนตรีและเสียงร้องเพลงของมนุษย์
2.    ทำนอง (Melody)  หมายถึง  เสียงสูง  เสียงต่ำ  เสียงยาว  เสียงสั้น  ของเครื่องดนตรีหรือเสียงคนร้อง ทำนองของดนตรีหรือบทเพลงนั้นจะแตกต่างกันออกไป  ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ประพันธ์เพลง
                3.  จังหวะ (Rhythm)  หมายถึง  การเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอ  อาจกำหนดไวเป็นความช้าเร็วต่างกัน  ในทางดนตรีแล้วนั้น การกำหนดความสั้นยาวของเสียงที่มีส่วนสัมพันธับระยะเวลาในการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีจะต้องมีจังหวะเป็นเกณฑ์  ถ้าร้องเพลงหรือเล่นดนตรีไม่ตรงจังหวะ  ก็จะไม่มีความไพเราะเท่าที่ควร 
                4.  การประสานเสียง (Harmony) หมายถึง  เสียงของเครื่องดนตรีและเสียงร้องเพลงของมนุษย์ที่มีระดับเสียงต่างกัน เปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน  โดยเสียงที่เปล่งออกมานั้นจะต้องผสมผสานกลมกลืนกันฟังแล้วไม่ขัดหู                     
                5.  รูปแบบการประพันธ์เพลง(Form)  หรือฉันทลักษณ์เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ดนตรีที่มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีระบบและระเบียบ  ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจ  สัมผัสกับสุนทรียรสได้ง่ายและเป็นอมตะ

การแบ่งประเภทของดนตรี

                ดนตรีที่ขับร้องและบรรเลงอยู่ในปัจจุบันนี้   แบ่งได้เป็น  2  ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.       ดนตรีประเภทเพลงบรรเลง (Instrumental  Music)
                เกิดจากการที่มนุษย์สร้างเสียงดนตรีขึ้นเพื่อบรรยายอารมณ์  ความคิด  ความรู้สึก  ซึ่งบางครั้งไม่สามารถบรรยายออกมาด้วยภาษาพูดได้  โดยนำเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ  บาบรรเลงเป็นเป็นหลัก  ทั้งในรูปแบบเดี่ยว(Solo)  แบบคู่(Duet)  แบบกลุ่ม(Ensemble)  วงดุริยางค์(Orchestra)  และวงดนตรี  (Band)
2.       ดนตรีประเภทขับร้อง(Vocal  Music)
                เกิดขึ้นจากเสียงร้องของมนุษย์โดยตรงที่บรรยายอารมณ์  ความรู้สึกออกมาเป็นเนื้อเพลงที่มีท่วงทำนองลีลา  สื่อความหมายได้ในเชิงภาษาพูด

ลักษณะของดนตรี

1.        ดนตรีพื้นเมืองหรือดนตรีพื้นบ้าน (Folk  Music) 
                ดนตรีพื้นบ้านเป็นดนตรีที่มาอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ  เครื่องดนตรีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประกอบจังหวะซึ่งอาจจะเป็นฉิ่ง ฉาบ  กรับโหม่ง  โทนรำมะนา  กลองยาว  และอาจจะมีเครื่องดนตรีอื่นที่ใช้บรรเลงประกอบ ได้แก่  สะล้อ  ซอ  ซึง  แคน  เป็นต้น ท่วงทำนองของเพลงมักจะเป็นทำนองสั้นๆ ซ้ำๆ  วกไปวนมา  โดยเปลี่ยนเนื้อร้องไปเรื่อยๆ ภาษาที่ใช้ในการขับร้องจะเป็นภาษาประจำถิ่น
2.       ดนตรีแบบฉบับ  (Classical  Music)
                ดนตรีแบบฉบับเป็นดนตรีของชนชาติใดก็ตามที่ได้รับการพัฒนาจนเป็นดนตรีชั้นสูง เป็นดนตรีที่มีความดีเด่นถึงขั้นเป็นแบบฉบับของชนชาตินั้นได้  เช่น  ดนตรีไทย  ซึ่งเดิมเป็นดนตรีพื้นเมืองของภาคกลางได้รับการพัฒนาและนำเข้าไปเล่นในราชสำนัก  ต่อมาได้รับการปรับปรุงจากครูดนตรีหลายท่าน จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นดนตรีชั้นสูงที่มีความไพเราะ  ดนตรีประเภทนี้จึงนิยมเรียกทับศัพท์ว่า ดนตรีคลาสสิค
3.       ดนตรีสมัยนิยมหรือดนตรีชนนิยม ( Popular  Music)  
                ดนตรีสมัยนิยม  หมายถึง  ดนตรีที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไป  เช่น  ดนตรีไทยสากลทั้งเพลงลูกทุ่ง  ลูกกรุง และวงดนตรีสากลทั้งหลายในปัจจุบัน  ดนตรีประเภทยนี้จะมีเพลงซึ่งงได้รับความนิยมอยู่เวลาหนึ่งก็จะเสื่อมความนิยมลงและก็จะมีเพลงใหม่ๆ เข้ามาแทนที่  บทเพลงของดนตรีสมัยนิยมถูกสร้างขึ้นโดยวิธีต่างๆ กัน  บางเพลงนำทำนองบางตอนของเพลงพื้นบ้านหรือเพลงแบบฉบับมาใช้  บางเพลงได้จากต่างชาติโดยตรง  เช่น  นำทำนองเพลงของชาติอื่นมาแล้วแต่งคำร้องเป็นภาษาของชาติตนเองใส่ลงไปในทำนองเพลง  เป็นต้น

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

10 อันดับรถที่เร็วที่สุดในโลก 2016

10 อันดับรถที่เร็วที่สุดในโลก 2016

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
          10 รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016 อัพเดทความแรงอันน่าทึ่งกับ 10 อันดับซูเปอร์คาร์เร็วที่สุดในโลก

          หากพูดถึงรถ Production Car ที่เร็วที่สุดในโลกแล้วคงจะยากที่จะมีรถประเภทไหนแรงเกินหน้าเหล่าซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ไปได้เพราะมันถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำว่าที่สุดย่อมต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
          เราจึงถือโอกาสรวบรวมข้อมูลรถ Production Car ที่เร็วที่สุดในโลก ประจำปี 2016 ซึ่งมีข้อแม้ว่าต้องเป็นรถจากโรงงานหรือแม้จะเป็นสำนักแต่ง (แต่ต้องไม่ใช่การตกแต่งพิเศษเฉพาะคันหรือเพื่อทำสถิติ) ที่มีจำหน่ายสำหรับคนทั่วไปทั้งในแบบจำกัดและไม่จำกัดจำนวน รวมถึงสามารถนำมาวิ่งบนถนนได้อย่างถูกกฎหมายมาให้ได้อัพเดทกันว่ารุ่นไหนอยู่ รุ่นไหนไป แล้วรุ่นใดกำลังจะมาบ้าง

 อันดับที่ 10 : Zenvo ST1

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก zenvoautomotive

          ความเร็วสูงสุด : 375 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 3 วินาที
          ราคา : ราคาเริ่มต้น 40 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ)


          Zenvo ST1 ซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงจากเดนมาร์กที่เริ่มจำหน่ายเมื่อปี 2009 โดยจำกัดจำนวนการผลิตอยู่เพียง 15 คันเท่านั้นและสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 375 กม./ชม. ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม. ใช้เวลาเพียง 3 วินาที ซึ่งความแรงระดับนี้มาจากเครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.8 ลิตรที่พ่วงทั้งเทอร์โบและซูเปอร์ชาร์จ จนมีกำลังสูงสุด 1,104 แรงม้า ที่ 6,900 รอบ/ นาที และแรงบิด 1,430 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 4,500 รอบ/ นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบ 7 จังหวะที่ใช้แพดเดิลชิฟท์แบบรถแข่งสูตร 1 พร้อมโหมดอัตโนมัติยามต้องการขับแบบชิล ๆ

 อันดับที่ 9 : Mclaren F1

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก mclaren

          ความเร็วสูงสุด : 391 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 3.2 วินาที
          ราคา : ประมาณ 31 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ)

          Mclaren F1 ถือว่าเป็นของวิเศษในปัจจุบันแม้จะเก่าแต่ก็เก๋าระดับตำนานด้วยตำแหน่ง Production Car ที่เร็วที่สุดในโลกในปี 1993 ด้วยความเร็ว 386 กม./ชม. ต่อมาในปี 1998 Mclaren F1 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 391 กม./ชม. ด้วยเครื่องยนต์ทรงพลังของ BMW แบบ V12 ความจุ 6.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 618 แรงม้า

          และตั้งแต่ปี 1992 ถึง 998 Mclaren F1 ได้ถูกผลิตขึ้นทั้งหมดจำนวน 106 คัน ซึ่งในปี 2013 ที่งาน Pebble Beach Concours d'Elegance รถ Mclaren F1 หมายเลขแชสซีส์ 066 ได้ถูกประมูลไปด้วยมูลค่า 8.47 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 265 ล้านบาท

 อันดับที่ 8 : Koenigsegg CCX

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก koenigsegg

          ความเร็วสูงสุด : 395 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 3.2 วินาที
          ราคา : ประมาณ 21 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ)


          Koenigsegg CCX ซูเปอร์คาร์จากสวีเดนที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2005 ใช้เครื่องยนต์อะลูมิเนียมแบบ V8 ขนาด 4.7 ลิตร พ่วงด้วยซูเปอร์ชาร์จ 2 ลูก ให้กำลังสูงสุด 806 แรงม้า และหากเป็นรุ่น CCXR นั้นสามารถเติมน้ำมันเบนซิน E85 รวมถึง E100 ได้ และมีกำลังสูงสุดถึง 1,030 แรงม้า แรงบิด 1,060 นิวตันเมตร ที่ 5,600 รอบ/ นาที และทาง Koenigsegg ได้ระบุว่าสามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 400 กม./ ชม. (โดยประมาณ)

 อันดับที่ 7 : Saleen S7 Twin-Turbo 

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก flick

          ความเร็วสูงสุด : 399 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 2.8 วินาที
          ราคา : 18.3 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ)


          Saleen S7 Twin Turbo เป็นซูเปอร์คาร์ที่ประกอบด้วยมือจากฝั่งอเมริกาที่ผลิตในช่วงปี 2005-2009 ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงของ Saleen S7 ให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นด้วยการติดตั้งเทอร์โบคู่ของ Garrett ให้กับเครื่องยนต์อะลูมิเนียมแบบ V8 ขนาดความจุ 7.0 ลิตร ของฟอร์ด จนได้กำลังสูงสุด 750 แรงม้าที่ 6,300 รอบ/นาที และแรงบิด 900 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที รวมไปถึงปรับปรุงแอร์โรพาร์ทรอบคันรวมถึงดิฟฟิวเซอร์ทั้งด้านหน้าและหลังใหม่เพื่อให้ได้แรงกดตัวถังเพิ่มขึ้นอีก 60%

 อันดับที่ 6 : Bugatti Veyron Grand Sport Vitesse

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก bugatti

          ความเร็วสูงสุด : 408 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 2.6 วินาที
          ราคา : 70 ล้านบาทโดยประมาณ (ราคาในต่างประเทศ)


          Bugatti Veyron Grand Sport Vitesse เปิดตัวครั้งแรกในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ ในปี 2012 เพื่อสร้างสถิติโลกรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกด้วยเครื่องยนต์ W16 สูบ ขนาดความจุ 8.0 ลิตร และเทอร์โบอีก 4 ตัว ที่ให้กำลังสูงสุด 1,200 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที และแรงบิด 1,500 นิวตันเมตร ที่ 3,000-5,000 รอบ/นาที

          สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 408.8 กม./ชม. รวมถึงอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 2.6 วินาที แต่อย่างไรก็ตามสำหรับการใช้งานบนถนนทั่วไป Bugatti Veyron Grand Sport Vitesse จะถูกจำกัดความเร็วไว้ด้วยกล่องควบคุมให้วิ่งได้แค่ 375 กม./ ชม. เท่านั้น

 อันดับที่ 5 : SSC Ultimate Aero TT 

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก sscnorthamerica

          ความเร็วสูงสุด : 412 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม :  วินาที
          ราคา 22 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ) 


          SSC Ultimate Aero TT ชื่อนี้อาจจะงงแต่ถ้าบอกว่า SSC ย่อมาจาก Shelby SuperCars หลายคนก็คงจะร้องอ๋อ และนี่คือซูเปอร์คาร์จากอเมริกันอีกหนึ่งคันที่ได้ครองตำแหน่ง Production Car เร็วที่สุดในโลกจาก กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด เมื่อปี 2007 ด้วยสถิติความเร็วสูงสุด 412.28 กม./ชม. ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.8 ลิตร เทอร์โบคู่ จากเชฟโรเลต คอร์เวตต์ ให้กำลังสูงสุด 1,300 แรงม้า

          อย่างไรก็ตาม SSC Ultimate Aero TT ได้ครองสถิติได้เพียง 2 ปี 9 เดือน ก็ถูก Bugatti Veyron Super Sport สอยลงข้างทางด้วยสถิติความเร็วใหม่ 431.07 กม./ ชม. แต่ในปี 2013 ก็เกิดดราม่าเล็ก ๆ เพราะกินเนสส์ยึดตำแหน่งคืนจาก Buggatti ทำให้ SSC Ultimate Aero TT กลับมาอยู่ในฐานะรถถนนที่เร็วที่สุดในโลกของกินเนสส์เหมือนเดิม

          แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง SSC นัก เพราะเพียงไม่นานกินเนสส์ก็ได้ตัดสินใจคืนตำแหน่งรถที่เร็วที่สุดในโลกให้ Bugatti Veyron Super Sport อีกครั้ง และคาดว่า SSC คงจะเจ็บแค้นจนถึงตอนนี้จึงได้เตรียมเอาคืนด้วย SSC Tuatara ว่าที่รถเร็วที่สุดในโลกในอนาคต

 อันดับ 4 : 9ff GT9-R

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก 9ff

          ความเร็วสูงสุด : 414 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 2.9 วินาที
          ราคา 22 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ) 


          9FF GT9-R ซูเปอร์คาร์หน้ากบที่ดูบ้องแบ๊วมากที่สุด ซึ่งตัวตนที่แท้จริงคือรถ Porsche 911 รุ่น GT3 รหัสตัวถัง 997 ที่ถูกสำนักแต่งจากเยอรมนีที่ใช้ชื่อว่า 9FF ที่ก่อตั้งโดยนาย Jan Fatthauer จับมาจุมพิตให้กลายเป็นสัตว์ร้ายด้วยการดัดแปลงตัวถังภายนอกใหม่หมดจนเกือบใกล้เคียงรถแข่ง

          จากนั้นยังโมดิฟายเครื่องยนต์ Boxer 6 สูบ ขนาด 4.0 ลิตร ให้มีพละกำลังในระดับ 1,120 แรงม้า หมายจะสร้างสถิติรถถนนที่วิ่งได้เร็วที่สุดด้วยความเร็วสูงสุดถึง 414 กม./ ชม. แต่ก็ยังได้แค่เพียงอันดับที่ 4 ในขณะที่ 9FF GT9-R ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ ชม. ได้ภายใน 2.9 วินาที ซึ่งต้องแสดงความเสียใจกับทาง 9ff ด้วยจริง ๆ

 อันดับ 3 : Koenigsegg Agera R 

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก koenigsegg

          ความเร็วสูงสุด : 418 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 2.9 วินาที
          ราคา : 50 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ)


          อันที่จริงแล้ว Koenigsegg Agera R ได้ระบุตัวเลขไว้ว่าสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 440 กม./ชม. จากเครื่องยนต์ V8 ขนาดความจุ 5.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลัง 1,140 แรงม้า ซึ่งยังไม่ได้รับการยืนยันในการทดสอบจริงถึงระดับนั้น และในรุ่นจำหน่ายจริง Koenigsegg Agera R ยังใช้ยางสมรรถนะสูงที่รองรับความเร็วสูงสุดแค่ 420 กม./ชม.
  
          อย่างไรก็ตามผู้ผลิตรถไฮเปอร์คาร์จากสวีเดนรายนี้ทำให้ Koenigsegg Agera R มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 2.9 วินาที และด้วยเวลาเพียง 14.53 วินาที หากจะทำความเร็ว 0-300 กม./ชม. ซึ่ง Hennessey Venom GT ทำได้เร็วกว่าด้วยเวลาแค่ 13.63 วินาที ตั้งแต่ปี 2013 แล้ว

          แต่สำหรับ Koenigsegg One ซึ่งผลิตเพียง 6 คันและขายหมดเกลี้ยงแล้วอาจมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งรถที่เร็วที่สุดในโลกในปีหน้า (แน่นอนว่าไม่ใช่ของกินเนสส์เพราะจำนวนการผลิตไม่ตรงข้อกำหนด) เพราะ Koenigsegg ระบุว่าวิ่งได้เร็วถึง 454 กม./ชม. เลยทีเดียว

 อันดับ 2 : Bugatti Veyron Super Sport

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก bugatti

          ความเร็วสูงสุด : 430 กม./ ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม : 2.4 วินาที
          ราคา : เริ่มต้น 55 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ)


          Bugatti Veyron Super Sport ไฮเปอร์คาร์จากฝรั่งเศสมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ W16 สูบ ขนาด 8 ลิตร ที่มีพละกำลังถึง 1,200 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ภายใน 2.4 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 430.9 กม./ ชม. ซึ่งได้รับการยืนยันและถูกบันทึกอย่างเป็นทางการจาก กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ว่านี่คือรถ Production Car เร็วที่สุดในโลกเมื่อปี 2010

          ทั้งนี้สถิติ Production Car ที่เร็วที่สุดในโลกตามข้อกำหนดของกินเนสส์ ระบุว่าจะต้องมีจำนวนการผลิตขายให้กับคนทั่วไป จำนวนขั้นต่ำ 30 คัน (จริง ๆ แล้ว Bugatti Veyron เฉพาะรุ่น Supper Sport ก็ผลิตไม่ถึงจำนวนที่กำหนด แต่ทางกินเนสส์คงรวม Bugatti Veyron ทุกรุ่น) โดยไม่ใช่รถโมดิฟายขึ้นมาเป็นพิเศษเฉพาะกิจเพื่อบันทึกสถิติเท่านั้น และจะต้องวิ่งบนสนามรูปวงรี (Oval Track) ทั้ง 2 ทิศทางเพื่อนำมาหาค่าเฉลี่ย รวมถึงต้องเป็นรถที่ใช้งานบนถนนได้จริงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ไม่ใช่รถแข่งที่วิ่งได้เฉพาะในสนามแข่งเท่านั้น)

รถที่เร็วที่สุดในโลก
ภาพจาก bugatti
          จากข้อกำหนดข้างต้นทำให้ในปี 2013 Bugatti Veyron Grand Sport ได้ถูกถอดออกจากสถิติรถยนต์ Production Car ที่เร็วที่สุดในโลกของกินเนสส์ไป ด้วยสาเหตุที่ Bugatti Veyron Grand Sport ที่จำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปนั้นถูกจำกัดความเร็วไว้ที่ 415 กม./ชม. ซึ่งหากเร็วกว่านี้จะเกินขีดจำกัดของยางที่ใช้จนอาจทำให้เกิดการระเบิดได้ และทางกินเนสส์ตีความว่ารถที่ใช้ในการวิ่งเพื่อบันทึกสถิติได้ถูกปลดล็อกความเร็วและถือว่า เป็นการ "ปรับแต่ง" (Modified) ไม่ตรงกับรุ่นที่จำหน่ายจริง ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของ กินเนสส์ ทำให้ SSC Ultimate Aero Twin Turbo ได้ขึ้นครองตำแหน่งแทน

          แต่ดราม่าเล็ก ๆ นี้เกิดขึ้นแค่ช่วงระยะสั้น ๆ เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดกินเนสส์ จึงเปลี่ยนใจเพราะมีการตีความใหม่ว่าการจำกัดความเร็วในรุ่นจำหน่ายจริงไม่ถือเป็นการ "ปรับแต่ง" (Modified) เพราะไม่ได้กระทำการใด ๆ กับเครื่องยนต์ของรถที่ใช้บันทึกสถิติให้แรงขึ้นกว่ารุ่นที่ผลิตจำหน่าย Buggatti Veyron Super Sport จึงได้กลับเข้ามาครองตำแหน่งและเขี่ย SSC Ultimate Aero ให้ไปอยู่อันดับสองตามเดิม และแม้ในปัจจุบันจะมี Hennessy Venom GT ที่เร็วกว่า แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากกินเนสส์แต่อย่างใดเพราะจำนวนการผลิตไม่ถึงเกณฑ์ ทำให้ Bugatti Veyron Grand Sport ยังนอนกอดตำแหน่งรถยนต์ที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลกของกินเนสส์อยู่จนถึงตอนนี้

 อันดับที่ 1 : Hennessey Venom GT

รถที่เร็วที่สุดในโลก 2016
ภาพจาก venomgt

          ความเร็วสูงสุด : 435.3 กม./ชม.
          อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม :  วินาที
          ราคา : 32 ล้านบาท (ราคาในต่างประเทศ)


          Hennessey Venom GT ของค่ายรถแต่งจากสหรัฐอเมริกาที่นำพื้นฐานของ Lotus Exige ที่ประกอบขึ้นในอังกฤษเพื่อจำหน่ายให้กับบรรดาเศรษฐีที่หลงใหลความแรงยังคงรักษาตำแหน่งรถยนต์ที่เร็วที่สุดบนโลกใบนี้ของมหาชนคนทั่วไป แต่ยังไม่ใช่กับทาง กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ในฐานะรถ Production Car ที่เร็วที่สุดในโลกเนื่องจากจำนวนการผลิตที่ยังไม่ถึง 30 คัน รวมถึงการวิ่งเพื่อทำความเร็วไม่ครบทั้ง 2 ทิศทางอันไม่ตรงตามข้อกำหนดของกินเนสส์ แต่ระหว่างทดสอบก็พิสูจน์ชัดว่าวิ่งเร็วแตะระดับ 435.3 กม./ ชม. ได้จริง

รถที่เร็วที่สุดในโลก
ภาพจาก venomgt

          แม้ Hennessey Venom GT จะพลาดตำแหน่ง Production Car ที่เร็วที่สุดในโลกของกินเนสส์ แต่ก็ยังได้รับการยืนยันในฐานะรถยนต์ Production Car ที่มีอัตราเร่งจาก 0-300 กม./ ชม. เร็วที่สุดในโลกด้วยเวลาเพียง 13.63 วินาที ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 7.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 1,260 แรงม้า จากกินเนสส์ไปแทน

          ทั้งหมดนี้คือ 10 อันดับที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น Production Car หรือรถถนนที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งอันดับ 1 ก็มีแนวโน้มว่าจะถูกโค่นลงในไม่ช้า

          ซึ่งสำหรับเราผู้นั่งชมคงเป็นเรื่องบันเทิงที่เอามาคุยและถกเถียงได้อย่างสนุกสนาน ส่วนผู้ผลิตคงดูท่าจะไม่สนุกด้วยแน่ ๆ แต่ถ้าตราบใดที่รถพวกนี้ยังขายได้หมดเกลี้ยงเหมือนแจกฟรีก็คงไม่ใช่ปัญหา

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์



คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีฟังก์ชันจำกัด

ประวัติของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้นเริ่มต้นจากเทคโนโลยีสองชนิดที่แตกต่างกัน ได้แก่ การควายคำนวณโดยอัตโนมัติ กับการคำนวณที่สามารถโปรแกรมได้ (หมายถึงสร้างวิธีการทำงานและปรับแต่งได้) แต่ระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าเทคโนโลยีชนิดใดเกิดขึ้นก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการคำนวณแต่ละชนิดนั้นไม่มีความสอดคล้องกัน อุปกรณ์บางชนิดก็มีความสำคัญที่จะเอ่ยถึง อย่างเช่นเครื่องมือเชิงกลเพื่อการคำนวณบางชนิดที่ประสบความสำเร็จและยังใช้กันอยู่หลายศตวรรษก่อนที่จะมีเครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์ อาทิลูกคิดของชาวสุเมเรียนที่ถูกออกแบบขึ้นราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล[6] ชนะการแข่งขันความเร็วในการคำนวณต่อเครื่องคำนวณตั้งโต๊ะเมื่อ ค.ศ. 1946 ที่ประเทศญี่ปุ่น[7] ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 1620 มีการประดิษฐ์สไลด์รูล ซึ่งถูกนำขึ้นยานอวกาศในภารกิจของโครงการอะพอลโลถึง 5 ครั้ง รวมถึงเมื่อครั้งที่สำรวจดวงจันทร์ด้วย[8] นอกจากนี้ยังมี เครื่องทำนายตำแหน่งดาวฤกษ์ (Astrolabe) และ กลไกอันติคือเธรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณ (คอมพิวเตอร์) เกี่ยวกับดาราศาสตร์ยุคโบราณที่ชาวกรีกเป็นผู้สร้างขึ้นราว 80 ปีก่อนคริสตกาล[9] ที่มาของระบบการสั่งการโปรแกรมเกิดขึ้นเมื่อ ฮีโรแห่งอเล็กซานเดรีย (c.10-70 AD) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกสร้างโรงละครที่ประกอบด้วยเครื่องจักร ใช้แสดงละครของขวัญความยาว 10 นาที และทำงานโดยมีกลไกเชือกและอิฐบล็อกทรงกระบอกที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะชิ้นส่วนกลไกใดใช้ในการแสดงฉากใดและเมื่อใด[10]
ราว ๆ ปลายศตวรรษที่ 10 สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 นักบวชชาวฝรั่งเศส ได้นำลิ้นชักบรรจุอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จะตอบคำถามได้ว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ เมื่อถูกถามคำถาม (ด้วยเลขฐานสอง) [11] ซึ่งชาวมัวร์ประดิษฐ์ไว้กลับมาจากประเทศสเปน ในศตวรรษที่ 13 นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส และโรเจอร์ เบคอน นักปราชญ์ชาวอังกฤษ ได้สร้างหุ่นยนต์แอนดรอยด์ (android) พูดได้ โดยไม่ได้พัฒนาใด ๆ ต่ออีก (นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส บ่นออกมาว่าเขาเสียเวลาเปล่าไป 40 ปีในชีวิต เมื่อนักบุญโทมัส อควีนาสตกใจกับเครื่องนี้และได้ทำลายมันเสีย) [12]
ในปี ค.ศ. 1642 แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีการประดิษฐ์เครื่องคำนวณของปาสคาลซึ่งเป็นเครื่องคำนวณตัวเลขเชิงกล[13] เป็นอุปกรณ์ที่จะสามารถคำนวณโดยใช้ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์โดยไม่ต้องพึ่งสติปัญญามนุษย์[14] เครื่องคำนวณเชิงกลนี้ยังถือเป็นรากฐานของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในสองทาง แรกเริ่มนั้น ความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องคำนวณที่มีสมรรถภาพสูงและยืดหยุ่น[15] ซึ่งทฤษฎีนี้ถูกสร้างโดยชาร์ลส แบบเบจ[16][17] และได้รับการพัฒนาในเวลาต่อมา[18] นำไปสู่การพัฒนาเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 และในขณะเดียวกัน อินเทล ก็สามารถประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเป็นหัวใจสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์หากไม่คำนึงถึงขนาดและวัตถุประสงค์[19] ขึ้นได้โดยบังเอิญ[20] ระหว่างการพัฒนาเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ บิซิคอม ที่พัฒนาสืบต่อจากเครื่องคำนวณเชิงกลโดยตรง                                                                                                                                                                https://th.wikipedia.org

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ฟุตบอลโลก


ฟุตบอล หรือ ซอกเกอร์ เป็นกีฬาประเภททีมที่เล่นระหว่างสองทีมโดยแต่ละทีมมีผู้เล่น11คน โดยใช้ลูกบอล เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นกีฬาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก 2014
โดยจะเล่นในสนามหญ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ สนามหญ้าเทียม โดยมีประตูอยู่กึ่งกลางที่ปลายสนามทั้งสองฝั่ง เป้าหมายคือทำคะแนนโดยพาลูกฟุตบอลให้เข้าไปยังประตูของฝ่ายตรงข้าม ในการเล่นทั่วไปผู้รักษาประตูจะเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่สามารถใช้มือหรือแขนกับลูกฟุตบอลได้ ส่วนผู้เล่นอื่นๆจะใช้เท้าในการเตะลูกฟุตบอลไปยังตำแหน่งที่ต้องการ บางครั้งอาจใช้ลำตัว หรือ ศีรษะ เพื่อสกัดลูกฟุตบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศ โดยทีมที่พาลูกฟุตบอลเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าจะเป็นผู้ชนะ ถ้าคะแนนเท่ากันให้ถือว่าเสมอ แต่ในบางเกมที่เสมอกันในช่วงเวลาปกติแล้วต้องการหาผู้ชนะจึงต้องมีการต่อเวลาพิเศษ และ/หรือยิงลูกโทษขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของรายการแข่งขันนั้นๆ
โดยกฎกติกาการเล่นสมัยใหม่จะถูกรวบรวมขึ้นในประเทศอังกฤษ โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปีพ.ศ. 2406 ได้กำเนิดLaws of the Gameเพื่อเป็นแนวทางกติกาการเล่นในปัจจุบัน ฟุตบอลในระดับนานาชาติจะถูกวางระเบียบโดยฟีฟ่า ซึ่งรายการแข่งขันที่มีเกียรติสูงสุดในระดับนานาชาติคือการแข่งขันฟุตบอลโลกซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี[4]


ถ้วยรางวัล

ถ้วยรางวัลชูลส์รีเมต์ ถ้วยรางวัลชนะเลิศฟุตบอลโลก ตั้งชื่อตามประธานฟีฟ่า ชูลส์ รีเมต์ เริ่มใช้ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1930-ฟุตบอลโลก 1974
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ถึง 1970 ถ้วยรางวัลชูลส์รีเมต์เป็นถ้วยที่มอบให้แก่ผู้ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลก เดิมทีเรียกง่ายๆ ว่า เวิลด์คัป (อังกฤษWorld Cup) หรือ คูปดูมอนด์ (ฝรั่งเศสCoupe du Monde) แต่ในปี ค.ศ. 1946 ได้เปลี่ยนชื่อตามประธานฟีฟ่า ที่ชื่อ ชูลส์ รีเมต์ ที่ได้ริเริ่มการแข่งขันครั้งแรก และเมื่อในปี ค.ศ. 1970 เมื่อทีมบราซิลชนะการแข่งขันเป็นครั้งที่ 3 ได้ครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์จากการที่ได้แชมป์ 3 สมัย แต่ในปี ค.ศ. 1983 ถ้วยถูกขโมยไปและไม่มีใครได้เห็นอีกเลย[23]
หลังจากปี ค.ศ. 1970 ก็มีถ้วยรางวัลใหม่ ที่รู้จักในชื่อ ถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัป โดยผู้เชี่ยวชาญของฟีฟ่าที่มาจาก 7 ประเทศ ประเมินจากแบบ 53 แบบ จนสรุปที่ผลงานการออกแบบของนักออกแบบชาวอิตาลีที่ชื่อซิลวีโอ กัซซานีกา (Silvio Gazzaniga) ถ้วยรางวัลใหม่นี้มีความสูง 36 ซม. (14.2 นิ้ว) ทำจากทองคำ 18 กะรัต (75%) น้ำหนัก 6.175 กก. (13.6 ปอนด์) ฐานของถ้วยมีเส้น 2 ชั้นทำจากมรกต ในส่วนใต้ฐานของถ้วยรางวัลสลักปีและชื่อของทีมผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 ผู้ออกแบบอธิบายถ้วยรางวัลนี้ว่า "เส้นที่โดดเด่นจากฐาน ที่หมุนรอบนั้นได้ขยายเพื่อรองรับโลก จากแรงดึงที่เคลื่อนที่ที่โดดเด่นของในส่วนตัวของถ้วยของประติมากรรมนี้ ได้ช่วยให้รูปร่างนักกีฬาดูเคลื่อนไหวไปกับห้วงเวลาแห่งชัยชนะ"
ชาติผู้ชนะไม่ได้กรรมสิทธิ์การครอบครองถ้วยถาวร แต่ผู้ชนะฟุตบอลโลกจะเก็บถ้วยไว้จนกว่าจะถึงการแข่งขันครั้งต่อไป และจะได้ถ้วยจำลองจากทองผสมไปแทน
ในปัจจุบัน สมาชิกทุกคน (ทั้งผู้เล่นและโค้ช) ของทีมใน 3 อันดับแรกจะได้รับเหรียญตรารูปถ้วยฟุตบอลโลก ผู้ชนะได้เหรียญทอง รองชนะเลิศได้เหรียญเงิน และที่ 3 ได้เหรียญทองแดง นอกจากนั้นในปี ค.ศ. 2002 มีการมอบเหรียญที่ 4 ให้ประเทศเจ้าภาพคือเกาหลีใต้ ก่อนหน้าการแข่งขันปี ค.ศ. 1978 จะมอบเหรียญให้กับ ผู้เล่นเพียง 11 คน ในนัดสุดท้ายของการแข่งขันรวมถึงนัดการแข่งขันชิงที่ 3 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ฟีฟ่าประกาศว่าสมาชิกทุกคนของทีมผู้ชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลกระหว่างปี ค.ศ. 1930 และ 1974 จะได้รับรางวัลย้อนหลังเป็นเหรียญตรา